บทเรียนที่ 2 : สงครามปฎิวัติอเมริกา 

                         
                           สวัสดีค่ะ กลับมาเจอกันอีกแล้วนะคะ รอบนี้ไม่กลับมามือเปล่าแน่นอนค่ะ มีความรู้มาเต็มเลย ในบทเรียนที่สองนี้จะขอเสนอประวัติศาสตร์เรื่อง สงครามปฎิวัติอเมริกา ค่ะ ชื่อเรื่องก็บอกอยู่แล้วนะว่าเกี่ยวกับประเทศอะไร แต่ขึ้นชื่อว่าสงครามคงไม่ได้มีประเทศเดียวแน่นอน มีใครรู้ไหมคะว่าอีกประเทศคู่กรณีคือประเทศอะไร? ถ้ายังไม่รู้ ก็มาอ่านกันเลยค่ะ 







                         
                           การปฏิวัติอเมริกา คือช่วงระยะเวลาครึ่งหลังของศตวรรษที่ 18 ที่มีการลุกฮือเพื่อประกาศเอกราชจากจักรวรรดิอังกฤษของประชาชนชาวอเมริกา จึ่งได้มีการสถาปนาสหรัฐอเมริกาขึ้นในเวลาต่อมาหลังจากได้รับชัยชนะในการปฏิวัติในครั้งนี้






                                เนื่องจากในยุคเริ่มต้น สหรัฐอเมริกาเป็นอาณานิคมของสหราชอาณาจักร ดังนั้นลักษณะโครงสร้างทางการเมืองของสหรัฐอเมริกาในฐานะอาณานิคมกับสหราชอาณาจักรจึงมีส่วนคล้ายคลึงกัน ระบอบการปกครองแบบรัฐผสมในสหราชอาณาจักรส่งเสริมความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างกลุ่มต่างๆ ภายในประเทศได้ในระดับหนึ่ง แต่สถาบันการเมืองการปกครองอย่างเดียวกันในสหรัฐอเมริกากลับก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสภานิติบัญญัติของสหรัฐอเมริกาและผู้ว่าการอาณานิคม อำนาจของผู้ว่าการอาณานิคมตามกฎบัตรของอาณานิคมมีมากกว่าอำนาจของฝ่ายบริหารในสหราชอาณาจักรมาก แต่ในทางปฏิบัติอำนาจทางการเมืองของผู้ว่าการอาณานิคม มักถูกจำกัดโดยเงื่อนไขที่สภานิติบัญญัติของสหรัฐอเมริกาเป็นผู้กำหนดขึ้น


สาเหตุในการปฏิวัติ

                         อังกฤษใช้นโยบายการค้าอย่างไม่ยุติธรรมกับอาณานิคม เนื่องจากบริเวณลุ่มแม่น้ำมิสซิสซิปปีนี้เป็นแหล่งเพาะปลูกใบชาที่สำคัญ อังกฤษใช้วิธีซื้อจากอาณานิคมในราคาถูกมากแล้วนำไปขายในยุโรปในราคาเพิ่มหลายเท่า ทำให้ชาวอาณานิคมไม่พอใจ และประกอบกับการที่ชาวอมริกันได้รับแนวคิดจาก นักปรัชญา คือ จอห์น ล็อก ทำให้เหตุการณ์ลุกลามใหญ่ ก่อให้การประท้วงชุมนุมงานเลี้ยงน้ำชาที่บอสตัน (Boston Tea Party) ที่กรุงบอสตัน อังกฤษจึงส่งกำลังเข้าปราบปราม ก่อให้เกิดการต่อต้านอย่างหนัก ฝรั่งเศสได้แอบส่งกำลัง อาวุธเข้าช่วยเหลืออเมริกา นำไปสุ่ สงครามปฏิวัติอเมริกัน จนในที่สุด อเมริกาก็สามารถประกาศอิสรภาพได้ในวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1776 ที่เมืองฟิลาเดเฟีย (วอชิงตัน ดี.ซี. ในปัจจุบัน) เกิดประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอมเริกาคือ จอร์จ วอชิงตัน และการที่ฝรั่งเศสเข้าช่วยอเมริกานี้เอง ทำให้ทหารที่เข้ามาร่วมรบในสงครามปฏิวัติอเมริกา ได้ซึบซับแนวคิดและความต้องการอิสรภาพของชาวอเมริกันทั้งมวลเข้าไว้ และกลายเป็นพลังผลักดันที่ทำให้เกิดการปฏิวัติในฝรั่งเศสและประกอบกับสภาพการณ์ ในขณะนั้นฝรั่งเศสกำลังย่ำแย่ด้วยสภาพเศรษฐกิจ สถาบันกษัตริย์ที่อ่อนแอ ทำให้ฝรั่งเศสเข้าสู่การปฏิวัติฝรั่งเศสและกลายเป็นแรงผลักดันให้เกิดการปฏิวัติไปทั่วยุโรปในเวลาต่อมาอีกด้วย



ผลกระทบจากการปฏิวัติอเมริกา 

                                  ทำให้เกิดแนวคิดเสรีนิยมขึ้นในโลกตะวันตก ก่อนที่แนวคิดนี้จะได้รับการเผยแพร่ไปทั่วโลกในเวลาต่อมา แนวคิดเสรีนิยมมีความเชื่อว่าเกิดขึ้น จากนายทุนปัจเจกชน ในระดับล่าง ทีมิใช่ศักดินา ลัทธินี้ เชื่อว่ามนุษย์ มีความเท่าเทียมกัน มีสิทธิเสรีภาพเสมอกันได้ แต่เพราะอำนาจของรัฐมากดขี่ไว้มิให้ประชาชนคิด พูด หรือกระทำตามปราถนาได้ โดยเฉพาะการผลิตและการค้า รัฐจะต้องเปิดอย่างเสรี ปรากฏการณ์ที่แสดงถึงความเฟื่องฟูของลัทธิเสรีนิยม คือ

-  เสรีภาพทางการเมือง
เสรีภาพทางเศรษฐกิจ
-  สิทธิมนุษยชน







          บทเรียนที่ 1 : สงครามเย็น (Cold War)

               สวัสดีค่ะ :) บทเรียนแรกของเราก็คือสงครามเย็น เพื่อนๆหลายคนอาจจะยังสงสัยกันว่า สงครามเย็นคืออะไร ? เป็นสงครามระหว่างประเทศอะไรกับประเทศอะไร ? แล้วมีความสำคัญอย่างไรกับโลกของเราในปัจจุบัน ? เนื่องจากสงครามเย็นถือว่าเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่มีความสำคัญมาก จึงได้เลือกมาให้เพื่อนๆได้ศึกษา เอาล่ะมาเริ่มเรียนกันเลย!!!



               สงครามเย็น เป็นการต่อสู้กันระหว่างกลุ่มประเทศ 2 กลุ่ม ที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองและระบอบการเมืองต่างกันระหว่างกลุ่มประเทศโลกเสรี นำโดยสหรัฐอเมริกา และกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์ นำโดยสหภาพโซเวียต ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ช่วงประมาณ ค.ศ.1945-1991 (พ.ศ. 2488-2534)




สงครามเย็นเป็นการต่อสู้ระหว่าง 2 กลุ่มประเทศ นำโดย สหภาพโซเวียต และ สหรัฐอเมริกา 

                โดยประเทศมหาอำนาจทั้ง 2 ฝ่ายจะไม่ทำสงครามกันโดยตรง แต่จะพยายามสร้างแสนยานุภาพทางการทหารของตนไว้ข่มขู่ฝ่ายตรงข้าม และสนับสนุนให้ประเทศพันธมิตรของตนเข้าทำสงครามแทน หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสงครามตัวแทน (Proxy War) เหตุที่เรียก สงครามเย็น เนื่องจากเป็นการต่อสู้กันระหว่างมหาอำนาจ โดยใช้จิตวิทยา ไม่ได้นำพาไปสู่การต่อสู้ด้วยกำลังทหารโดยตรง แต่ใช้วิธีการโฆษณาชวนเชื่อการแทรกซึมบ่อนทำลาย การประณาม การแข่งขันกันสร้างกำลังอาวุธ และแสวงหาอิทธิพลในประเทศเล็ก




มีการสนับสนุนให้ประเทศพันธมิตรของตนเข้าทำสงครามแทน
 

          สาเหตุของสงครามเย็น 

          สงครามเย็นมีสาเหตุมาจากความขัดแย้งทางด้านอุดมการณ์ทางการเมืองของประเทศมหาอำนาจทั้งสอง คือ สหรัฐอเมริกา และสหภาพโซเวียต ที่ยึดถือเป็นแนวทางในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ และความขัดแย้งทางด้านผลประโยชน์และเขตอิทธิพล เพื่อครองความเป็นผู้นำของโลก โดยทั้งสองประเทศพยายามแสวงหาผลประโยชน์และเขตอิทธิพลในประเทศต่าง ๆ ทั้งนี้เป็นผลมาจากการที่ผู้ยิ่งใหญ่หรือผู้นำทางการเมืองของโลกในสมัยก่อน คือ อังกฤษ เยอรมนี ได้หมดอำนาจลงภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วนั่นเอง


          ความเป็นมาของสงครามเย็น

          เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง โดยเยอรมนีเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต่อฝ่ายสหประชาชาติ ทำให้สหรัฐอเมริกาและโซเวียตขาดจุดมุ่งหมายที่จะดำเนินการร่วมกันอีกต่อไป และความขัดแย้งก็เริ่มต้นขึ้นหลังจากทั้งสองประเทศมีมุมมองต่ออนาคตของประเทศในยุโรปตะวันออกและประเทศเยอรมนีแตกต่างกัน และทำให้เกิดความขัดแย้งทางอุดมการณ์อย่างชัดเจน กล่าวคือ เกี่ยวกับประเทศยุโรปตะวันออกนั้น ประเทศทั้งสองได้เคยตกลงกันไว้ที่เมืองยัลต้า (Yalta) เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1945 ว่า 

          "……เมื่อสิ้นสงครามแล้ว จะมีการสถาปนาการปกครองระบบประชาธิปไตยในประเทศเหล่านั้น" แต่พอสิ้นสงคราม โซเวียตได้ใช้ความได้เปรียบของตนในฐานะที่มีกำลังกองทัพอยู่ในประเทศเหล่านั้น สถาปนาประชาธิปไตยตามแบบของตนขึ้นที่เรียกว่า "ประชาธิปไตยของประชาชน" ฝ่ายสหรัฐอเมริกาจึงทำการคัดค้าน เพราะประชาธิปไตยตามความหมายของสหรัฐอเมริกา หมายถึง "เสรีประชาธิปไตยที่จะเปลี่ยนรัฐบาลได้โดยวิธีการเลือกตั้งที่เสรี" ส่วนโซเวียตก็ยืนกรานไม่ยอมให้มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ

 
          ส่วนในประเด็นที่เกี่ยวกับประเทศเยอรมนีก็เช่นกัน เพราะโซเวียตไม่ยอมปฏิบัติการตามการเรียกร้องของสหรัฐอเมริกาที่ให้มีการรวมเยอรมนี และสถาปนาระบอบเสรีประชาธิปไตยในประเทศนี้ตามที่ได้เคยตกลงกันไว้ 

          ความไม่พอใจระหว่างประเทศทั้งสองเพิ่มมากขึ้น เมื่อประธานาธิบดีทรูแมน (Harry S. Truman) ของสหรัฐอเมริกา ได้สนับสนุนสุนทรพจน์ของอดีตนายกรัฐมนตรีเชอร์ชิล (Sir. Winston Churchill) ของอังกฤษ ซึ่งได้กล่าวในรัฐมิสซูรี เมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ.1946 ว่า "ม่านเหล็กได้ปิดกั้นและแบ่งทวีปยุโรปแล้ว ขอให้ประเทศพี่น้องที่พูดภาษาอังกฤษด้วยกัน ร่วมมือกันทำลายม่านเหล็ก (Iron Curtain)" ซึ่งหมายความว่า เชอร์ชิลล์เรียกร้องให้มีการจับขั้วพันธมิตรระหว่างสหรัฐอเมริกากับอังกฤษเพื่อต่อต้านสหภาพโซเวียต ซึ่งถูกมองว่าเป็นผู้สร้างม่านเหล็กกั้นยุโรป และด้วยสุนทรพจน์นี้เอง ทำให้ประเทศในโลกนี้แตกออกเป็นสองฝ่ายระหว่างประเทศประชาธิปไตยและคอมมิวนิสต์อย่างชัดเจน

          ส่วนปัญหาที่แสดงให้เห็นถึงการแข่งขันในการเป็นผู้นำของโลกแทนมหาอำนาจยุโรปก็คือ การที่สหรัฐอเมริกาสามารถบังคับให้โซเวียตถอนทหารออกจากอิหร่านได้สำเร็จในปี ค.ศ.1946 ต่อมาในเดือนมีนาคม ค.ศ.1947 อังกฤษได้ประกาศสละความรับผิดชอบในการช่วยเหลือกรีซ และตุรกี ให้พ้นจากการคุกคามของคอมมิวนิสต์ เพราะไม่มีกำลังพอที่จะปฏิบัติการได้ และร้องขอให้สหรัฐอเมริกาเข้าทำหน้าที่นี้แทน 
 
          ประธานาธิบดีทรูแมนจึงตกลงเข้าช่วยเหลือและประกาศหลักการในการดำเนินนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาให้โลกภายนอกทราบว่า "……จากนี้ไปสหรัฐอเมริกาจะเข้าช่วยเหลือรัฐบาลของประเทศที่รักเสรีทั้งหลายในโลกนี้ให้พ้นจากการคุกคามโดยชนกลุ่มน้อยในประเทศที่ได้รับการช่วยเหลือจากต่างประเทศ…" หลักการนี้เรียกกันว่า หลักการทรูแมน (Truman Doctrine)

          จากนั้น สหรัฐอเมริกาก็แสดงให้ปรากฏว่า ตนพร้อมที่จะใช้กำลังทหารและเศรษฐกิจ สกัดกั้นการขยายอิทธิพลของคอมมิวนิสต์ทุกแห่งในโลก ไม่ว่าจะเป็นทวีปยุโรป เอเชีย หรือแอฟริกา ทำให้ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1947 ผู้แทนของโซเวียตได้ประกาศต่อที่ประชุมพรรคคอมมิวนิสต์ทั่วโลกที่นครเบลเกรด ประเทศยูโกสลาเวีย ว่า "…..โลกได้แบ่งออกเป็นสองค่ายแล้วคือ ค่ายจักรวรรดินิยมอเมริกันผู้รุกราน กับค่ายโซเวียตผู้รักสันติ…และเรียกร้องให้คอมมิวนิสต์ทั่วโลก ช่วยสกัดกั้นและทำลายสหรัฐอมริกา…." ฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่าถ้อยแถลงของผู้แทนโซเวียตนี้เป็นการประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ

          อย่างไรก็ตาม สงครามเย็นที่มีลักษณะเป็นทั้งการขัดแย้งทางอุดมการณ์และการแข่งขันเพื่อกำลังอำนาจของประเทศมหาอำนาจทั้งสอง ซึ่งต้องการที่จะเป็นผู้นำโลก ได้เริ่มเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะที่ลดความรุนแรง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1960 เป็นต้นมา เนื่องจากได้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองระหว่างประเทศสำคัญ 2 ประการคือ
    
          1. การดำเนินนโยบาย "การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ" (Peaceful Co-existence) ของประธานาธิบดี นิกิตา ครุสชอฟ (Nikita Khrushchev) ของโซเวียต เนื่องจากเกรงว่าอำนาจนิวเคลียร์ที่โซเวียตและสหรัฐอเมริกามีเท่าเทียมกัน อาจถูกนำมาใช้ในกรณีที่ความตึงเครียดระหว่างสองฝ่ายมีความรุนแรงขึ้น นอกจากนี้ยังเชื่อว่าประเทศที่มีลัทธิการเมืองและลัทธิเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน จะสามารถติตดต่อค้าขายและมีความสัมพันธ์ต่อกันได้ โดยไม่ยุ่งเกี่ยวในกิจการภายในซึ่งกันและกัน ดังนั้น การต่อสู้ระหว่างค่ายเสรีประชาธิปไตยกับค่ายคอมมิวนิสต์อาจจะเอาชนะกันได้โดยไม่ต้องใช้กำลัง

          อย่างไรก็ตาม หลักการอยู่ร่วมกันโดยสันติของโซเวียต เป็นเพียงแต่การเปลี่ยนจากการมุ่งขยายอิทธิพลด้วยสงครามอย่างเปิดเผยไปเป็นสงครามภายในประเทศและการบ่อนทำลาย ฉะนั้น ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1963 เป็นต้นมา สหรัฐอเมริกาและโซเวียตต่างใช้วิธีการทุกอย่างทั้งด้านการทหาร การเมือง และเศรษฐกิจ ในการแข่งขันกันสร้างความนิยม ความสนับสนุนและอิทธิพลในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก โดยหลีกเลี่ยงการใช้อาวุธและการประจันหน้ากันโดยตรง

          2. ความแตกแยกในค่ายคอมมิวนิสต์ระหว่างโซเวียตกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเริ่มปรากฏตั้งแต่ปี ค.ศ. 1960 เป็นต้นมา และเมื่อจีนสามารถทดลองระเบิดปรมาณูสำเร็จและกลายเป็นประเทศมหาอำนาจนิวเคลียร์ในปี ค.ศ. 1964 ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสองก็เสื่อมลง จนถึงขึ้นปะทะกันโดยตรงด้วยกำลังในปี ค.ศ. 1969 จากความขัดแย้งทางด้านอุดมการณ์และการแข่งขันกันเป็นผู้นำในโลกคอมมิวนิสต์ ระหว่างจีนกับโซเวียต มีผลทำให้ความเข้มแข็งของโลกคอมมิวนิสต์ลดน้อยลง และมีส่วนผลักดันให้จีนเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศ ไปสู่การปรับความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกาในที่สุด

          ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 เป็นต้นมา ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมหาอำนาจเริ่มคืนสู่สภาวะปกติ โดยใช้วิธีการหันมาเจรจาปรับความเข้าใจกัน ดำเนินนโยบายเกี่ยวกับที่เอื้อต่อผลประโยชน์ และความมั่นคงปลอดภัยของ ประเทศตน ระยะนี้จึงเรียกว่า "ระยะแห่งการเจรจา" (Era of Negotiation) หรือระยะ "การผ่อนคลายความตึงเครียด" (Detente) โดยเริ่มจากสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ซึ่งเป็นผู้ปรับนโยบายจากการเผชิญหน้ากับโซเวียต มาเป็นการลดความตึงเครียดในความสัมพันธ์ต่อกัน 

           นอกจากนี้ยังได้เปิดการเจรจาโดยตรงกับสาธารณรัฐประชาชนจีนด้วย ทั้งนี้เพราะตระหนักว่าจีนได้กลายเป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์อีกชาติหนึ่ง และกำลังจะมีบทบาทมากขึ้นในประเทศด้อยพัฒนา และประเทศที่เพิ่งเกิดใหม่ทั้งในทวีปเอเชีย แอฟริกา ลาตินอเมริกา และยุโรป 

          ดังนั้น ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1971 สหรัฐอเมริกาได้ส่งนายเฮนรี่ คิสชินเจอร์ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่ชาติ เดินทางไปปักกิ่งอย่างลับ ๆ เพื่อหาลู่ทางในการเจรจาปรับความสัมพันธ์กับจีน ซึ่งนำไปสู่การเยือนปักกิ่งของ ประธานาธิบดีนิกสัน ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1972 และได้ร่วมลงนามใน "แถลงการณ์เซี่ยงไฮ้" (Shanghai Joint Communique) กับอดีตนายกรัฐมนตรีโจว เอินไหล ซึ่งมีสาระที่สำคัญคือ สหรัฐอเมริกายอมรับว่า รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นรัฐบาลอันชอบธรรมเพียงรัฐบาลเดียวและไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีน จากนั้นมาทั้งสองประเทศได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตต่อกันในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1979

          นอกจากนี้ สหรัฐอเมริกาและโซเวียต ได้พยายามที่จะปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างกันในลักษณะที่เป็นการผ่อนคลายความตึงเครียดระหว่างประเทศทั้งสอง ซึ่งจะเห็นได้จากการเปิดการ เจรจาจำกัดอาวุธยุทธศาสตร์ ครั้งแรกที่กรุงเฮลซิงกิ ที่เรียกว่า SALT-1 (Strategic Arms Limitation Talks) ในปี ค.ศ. 1972 ซึ่งเป็นการเริ่มแนวทางที่จะให้เกิดความร่วมมือและสันติภาพ ในปีเดียวกันนี้ประธานาธิบดีนิกสันก็ได้ไปเยือนโซเวียต ส่วนเบรสเนฟเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ของโซเวียต ก็ได้ไปเยือนสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1973 ต่อมาประเทศทั้งสองได้เจรจาร่วมลงนามในสนธิสัญญาจำกัดอาวุธยุทธศาสตร์ ฉบับที่ 2 (SALT-2) ที่เวียนนา ในวันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ. 1979 ซึ่งมีผลทำให้โซเวียตมีความเท่าเทียมกับสหรัฐอเมริกา ทั้งทางการเมืองและทางแสนยานุภาพ นอกจากนั้นยังได้รับผลประโยชน์ทางการค้ากับฝ่ายตะวันตกเพิ่มมากขึ้น 

          อย่างไรก็ตาม แม้ว่าโซเวียตจะยอมร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาในบางกรณีที่เป็นผลประโยชน์แก่ตน แต่โซเวียตก็ยังคงดำเนินนโยบายแผ่ขยายอำนาจและอิทธิพลเข้าไปในดินแดนต่าง ๆ ทั้งในเอเชีย แอฟริกา และลาตินอเมริกา แต่โซเวียตก็พยายามระมัดระวังไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งที่จะนำไปสู่การทำลายสภาพการผ่อนคลายความตึงเครียด ซึ่งจะมีผลทำให้เกิดความขัดแย้งและอาจจะไปสู่สงครามได้




               ความขัดแย้งของประเทศประชาธิปไตย และสังคมนิยมในภาวะสงครามเย็น

               -    วิกฤตการณ์เบอร์ลิน
   
               -    วิกฤตการณ์คาบสมุทรเกาหลี

               -    วิกฤตการณ์อินโดจีน

                   -     วิกฤตการณ์คิวบา

               เมื่อลัทธิคอมมิวนิสต์ในโซเวียตล่มสลายแล้วก็นับเป็นการสิ้นสุดของยุคสงครามเย็นและเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 หรือโลกในยุคโลกาภิวัตน์ ที่จัดเป็นโลกในสังคมแห่งยุคข่าวสาร จากนั้นบทบาทของโซเวียตในเวทีโลกก็ลดน้อยลงไปอย่างเห็นได้ชัด เพราะการแตกออกเป็นสาธารณรัฐต่าง ๆ ทำให้สหภาพโซเวียตเดิมอ่อนแอลงมาก อีกทั้งการเกิดขึ้นของรัสเซียใหม่ (Neo-Russia) ภายหลังการล่มสลายของโซเวียต ก็ทำให้รัสเซียต้องหมกมุ่นอยู่กับปัญหาการเมืองภายในของตัวเอง และปัญหาของการเป็นผู้นำกลุ่มประเทศในเครือจักรภพรัฐเอกราช ดังนั้นจึงทำให้สหรัฐอเมริกาก้าวเข้ามามีบทบาทเต็มที่เพียงหนึ่งเดียวในโลกยุคโลกาภิวัตน์







World Of Hetalia!!!







          "Hetalia" คืออะไร ?

          เฮตาเลีย เป็นการ์ตูนที่กล่าวถึงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ในช่วงสงครามโลกจนถึงปัจจุบัน โดยบอกเล่าเรื่องราวผ่านตัวละครที่มีมากกว่า 40 ตัวละคร โดยจุดเด่นของเรื่องอยู่ที่การสร้างตัวละครขึ้นมาเป็นตัวแทนของประเทศต่างๆในโลก โดยล้อเลียนลักษณะของคนในชาตินั้นๆ ชื่อเรื่องเฮตาเลียเกิดจากการรวมสองคำเข้าด้วยกัน ได้แก่ Hetare (ในภาษาญี่ปุ่นมีความหมายว่าใช้ไม่ได้) และ Italia (ชื่อของประเทศอิตาลีในภาษาอิตาลี) เมื่อนำมารวมกันแล้ว เฮตาเลียจึงมีความหมายว่า "อิตาลีผู้ไม่ได้เรื่อง" การตั้งชื่อดังกล่าวนี้เป็นการล้อเลียนถึงความอ่อนแอของอิตาลีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

          ทำไมถึงเลือกเขียนเรื่องนี้ ?

          ที่เลือกเขียนเรื่องนี้เพราะว่าโดยส่วนตัวแล้วเป็นคนที่ชอบประวัติศาสตร์มากค่ะ และการ์ตูนเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เริ่มสนใจเรื่องของประวัติศาสตร์อย่างจริงๆจังๆ ตอนแรกๆเคยคิดว่าประวัติศาสตร์เป็นอะไรที่น่าเบื่อ ทุกครั้งที่เรียนจะมีความรู้สึกว่า "ง่วงนอน" พอได้ดูการ์ตูนเรื่องนี้แล้ว กลับต้องเปลี่ยนความคิดว่า "ประวัติศาสตร์ไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่คิด" เลยตัดสินใจเขียนเรื่องนี้เพื่อถ่ายทอดความรู้ให้แก่เพื่อนๆ มาเรียนประวัติศาสตร์นอกห้องเรียนไปพร้อมๆกับการ์ตูนน่ารักๆกันเถอะ!!!





    
ห้องเรียนประวัติศาสตร์

     







- Copyright © Bow Patitta - Hatsune Miku - Powered by Blogger - Designed by Johanes Djogan -